Last updated: 24 ส.ค. 2567 | 2838 จำนวนผู้เข้าชม |
พอปืนเปรี้ยงแปลบไปในมณฑล
ก็รู้ว่าประชาชนจะชิงชัย
ครานั้น...2516
บทกวีเคยใช้เป็นถ้อยถางทางภาษาที่ให้ผู้อ่านได้เสพผ่านอักษรเพื่อสื่อภาพของการวิพากษ์วิจารณ์รัฐในการต่อสู้ในประวัติศาสตร์ เราจะเห็นวิธีการเล่าที่บ้างก็นำเรื่องของตาสีตาสาที่ลำบากมาให้เห็นเช่นในบท “คำขาดของทิดเที่ยง” เพื่อสะท้อนความล้มเหลวของรัฐผ่านความเป็นอยู่ของเขาเหล่านั้น
“คราน้ำท่วมกูทุกข์ ครั้นข้าวสุกกูโศก ให้แบกโลกทั้งโลก ก็บรรลัย”
ภาพตัวแทนบางอย่างถูกยกขึ้นมาใช้แทนกลุ่มผู้ปรารถนาในเสรีภาพ บ้างก็นก บ้างก็เหยี่ยว และบ้างก็แทนกลุ่มชนเหล่านั้นด้วยภาพของนักรบผ่านการใช้ขนบเพลง “เจ้าขุนทอง” อันหมายความถึงนักรบในสมัยอยุธยามาเล่าใหม่เป็นเจ้าขุนทองเดือนตุลา ผู้กล้าหาญและแบกความหวังไปต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย
อาจกล่าวได้ว่ากลอน เรื่องสั้น หรืองานเขียนใด ๆ ที่เปี่ยมไปด้วยอุดมการณ์และความกล้าหาญในการวิพากษ์วิจารณ์การเมืองโดยเฉพาะอย่างยิ่งในตัวรัฐบาลได้แจ้งเกิดนักเขียนจำนวนมาก และปูทางมายังการใช้งานเขียนในช่วงเวลาต่อมา
แน่นอนงานชิ้นนั้นได้รับการยกย่องเชิดชู เช่นกันกับนักเขียนที่ได้รับการชื่นชมในฐานะกวีแห่งรัตนโกสินทร์ กระทั่งได้ตำแหน่งทางการเมือง ในฟากฝั่งเดียวกันกับที่งานกวีของตนเองเคยวิพากษ์ในกาลก่อน คำกลอนเหล่านั้นจึงอาจเป็นเพียงถ้อยคำไพเราะด้วยพรสวรรค์ทางภาษา แต่แห้งแล้งเหลือเกินในอุดมการณ์
ในปัจจุบันท่ามกลางความพยายามในการย้อนกลับมาของกฎหมายที่กดหัวประชาชนในการแสดงออกซึ่งเสียงแห่งตน ก็เป็นเช่นกันกับการกับมาของกวี
ในประเภทที่ต่างออกไป
ครานี้...2562
เพลง “ประเทศกูมี” กลายเป็นกระแสอย่างรวดเร็วกับการใช้เพลงแร็พในการวิพากษ์รัฐบาลและประวัติศาสตร์การเมืองในประเทศไทยอย่างตรงไปตรงมาพร้อมกับมิวสิควิดีโอที่เล่นล้อไปเหตุการณ์สำคัญทางการเมืองในยุคหกตุลา ทั้งการวาดแขนเชียร์และโทนสีขาวดำในลักษณะของการอ้างอิงเทคโนโลยีการถ่ายภาพในอดีต
นอกเหนือจากวิถีทางอันเฉพาะของฉันทลักษณ์แบบเพลงแร็พที่บางครั้งทำนองอาจจะไม่ต่างกันซึ่งทำให้เราเสพภาษาได้โดยละเอียดแล้ว การปะทะกันของขนบความเป็น ‘กวี’ ในวิถีที่ต่างกันก็เป็นอีกหนึ่งนัยสำคัญที่น่าสนใจอีกด้วย
หนึ่งที่เห็นได้ชัดในเพลงแร็พคือ การเรียนรู้ในประวัติศาสตร์ของคนรุ่นใหม่ ที่ทำให้พวกเขาพูดถึงตัวเองน้อยลงและมุ่งไปวิพากษ์ที่ตัวรัฐบาลและระบบการบริหารประเทศอย่างตรงไปตรงมามากขึ้น ในเพลงประเทศกูมีเอง เราแทบไม่เห็นภาพของการแทนตัวเองด้วยสัญญะใดๆ นอกจาก ‘กู’ ... กูผู้ซึ่งอาศัยอยู่ในประเทศที่มีเหตุการณ์อันไม่ควรเกิดขึ้นในประเทศที่อ้างตัวเป็นประเทศประชาธิปไตย ทั้งเรื่องของระบบกฎหมาย การคอร์รัปชั่น และประวัติศาสตร์อันโหดร้ายที่ถูกทำให้หายไปจากความรับรู้ของคนรุ่นหลังอยู่เสมอ และไม่เคยได้รับความเป็นธรรมแม้ในปัจจุบัน
“ประเทศที่ใจกลางกรุงกลายเป็นทุ่งสังหาร
ประเทศที่ผู้นำทานอิฐทานปูนเป็นของหวาน”
ไม่ใช่เพียงประเทศกูมีเท่านั้นที่ออกมาใช้เพลงแร็พในการวิพากษ์การทำงานของรัฐและเรื่องราวอันฟอนเฟะที่เกิดขึ้นจริงในสังคมไทย มีเพลงอีกเป็นจำนวนมากทั้งในและนอกกระแสที่ใช้ฉันทลักษณ์ของความเป็น ‘แร็พ’ ในการออกมาวิพากษ์รัฐบาลและประเทศไทย เช่น เพลงของ section 44 ของ P9D ที่ออกมาวิพากษ์การใช้กฎหมายมาตรา 44 หากแต่ภาษาที่มีความรุนแรงกว่า จึงอาจทำให้เพลงไม่ได้เป็นที่พูดถึงหรือถูกรองรับให้มีการดาวโหลดในแอพลิเคชั่นสำหรับฟังเพลงได้อย่างเพลงประเทศกูมี
“ซ่องสุมเอาแต่พวกของพวกมึงแม่งโคตรเหี้ย
ถือกฎหมายแล้วใครจะกล้าไปจวกมึงแม่งโคตรเหี้ย
ทำคนบริสุทธิ์ตายแล้วยังให้ท้ายแม่งโคตรเหี้ย
กากีหาดีไม่ได้แม่งหาง่ายแต่โคตรเหี้ย”
สิ่งหนึ่งที่ไม่มีปรากฏอยู่ในเพลงแร็พอย่างน้อยก็จากประสบการณ์ที่ผ่านหูนั้น คือการ ‘ปลุกระดม’ อย่างที่เราเคยเห็น ฉะนั้นในบทเพลงเรานี้ เราจะเห็นการแสดงออกซึ่งความคิดของปัจเจกอย่างเสรีโดยไม่มีการสร้างตัวละครเพื่อเล่าเรื่องราวของใคร ภาพตัวแทนอย่าง ‘ใบไม้’ ‘นกพิราบ’ หรือพวงดอกไม้ใบกาหลงใดๆ ก็แทบไม่ปรากฏให้เห็นในเพลงแร็พอันวิพากษ์รัฐในปัจจุบัน
แต่หากเราจะกล่าวว่า ความตรงไปตรงมาเหล่านั้นขาดซึ่งวรรณศิลป์และความงามทางภาษาก็คงไม่ใช่
แร็พมีฉันทลักษณ์ของมัน ฉันทลักษณ์ที่ส่งสัมผัสในพยางค์หรือสองพยางค์สุดท้าย (Rhyme) บางครั้งเราจะเห็นการเล่นคำ flip ซึ่งรวมไปถึงการส่งสัมผัสคำที่น่าสนใจ ทั้งยังเปิดโอกาสให้เกิดการเลี่ยงสัมผัส กล่าวคือ อาจจะไม่จำเป็นต้องใช้สัมผัสสระเดียวกันในการรับกันในทุกครั้ง หากแต่สามารถใช้คำที่มีเสียงคล้ายกันในการรับสัมผัสของวรรคก่อนหน้าได้
“นี่มันเมืองมิตรสยามหากใครมาหยามก็เป็นมิตร
อยากเป็นรัฐบาลแค่ส่งสัญญาณมาเป็นซิก”
แน่นอนว่าฉันทลักษณ์เหล่านี้อ้างอิงตามฉันทลักษณ์การส่งสัมผัสแบบตะวันตก เนื่องจากประวัติศาสตร์ของเพลงแร็พเดิมนั้นมาจากตะวันตก จากกลุ่มชนชั้นแรงงานและยากไร้ ซึ่งต่อมามันได้กลายมาเป็นหนึ่งในเครื่องมือวิพากษ์รัฐ พูดเรื่องปัญหาการเมือง และการเรียกร้องสิทธิต่างๆ แรกเริ่มเมื่อวัฒนธรรมแร็พเข้ามาในเมืองไทย สำนึกแห่งการวิพากษ์ที่ไม่ได้มาพร้อมกัน อาจกล่าวได้ว่าการใช้แร็พเป็นเครื่องมือทางภาษาในการวิพากษ์รัฐนั้นปรากฏอย่างชัดเจนในระยะหลัง เจาะกลุ่มเข้าอย่างจังกับกลุ่มเยาวนชน ทำให้เหตุการณ์ทางการเมืองที่รัฐพยายามปิดหูปิดตาคนรุ่นใหม่ได้รับการรับรู้มากขึ้น
ปฏิเสธไม่ได้ว่าในปัจจุบัน เพลงแร็พเป็นอีกอีก Genre ที่เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือให้เลือกใช้ในการวิพากษ์รัฐบาลนอกเหนือจากเรื่องสั้นและกวีแล้ว เหนือกว่านั้นคือวิธีการเสพที่ผ่านทั้งคำ เสียง และดนตรี อย่างน้อยที่สุดเราก็ได้ยินน้ำเสียงโดยตรง หาใช่การอ่านหนังสือแล้วจินตนาการน้ำเสียงจากอักษรเพื่อมาพบว่าแท้จริงน้ำเสียงอันฮึกเหิมที่เราเคยชื่นชมนั้นไม่เคยมีอยู่จริง
ในช่วงเวลาหนึ่ง ผู้หลงลืมอุดมการณ์เหล่านี้เคยเป็นวัยรุ่นซึ่งอหังการ์ที่กล้าออกมาต่อสู้กับอำนาจอันไม่เป็นธรรมของรัฐ เช่นกันกับกลุ่มวัยรุ่นเหล่านี้
ในช่วงเวลานั้น บทกวีอันเคยถูกจำกัดไว้เพียงงานประเภทสายลมแสงแดด ได้ออกมาวิพากษ์อำนาจรัฐก่อนจะได้รับการยอมรับอย่างยิ่งเช่นกันกับเพลงแร็พเหล่านี้ ที่แจ้งเกิดตัวเองด้วยผู้เข้าชมสูงถึงแปดสิบล้านวิว
หวังเพียงอย่างเดียว ว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไป อุดมการณ์เหล่านั้นจะไม่ถูกลืมอย่างที่เคยเกิดขึ้นกับกวีรุ่นก่อนเท่านั้น
เชิร์ลตะวัน เขียน
==================
-- บทความแนะนำ --
-- ชุดหนังสือบทกวีแนะนำ ในราคาพิเศษ -- (คลิกที่รูปเพื่อดูรายละเอียดเพิ่ม)
1. ปลดปล่อยอิสรภาพผ่านตัวอักษร
=====
2. มากกว่าคำคมและข้อคิดให้กำลังใจ
=====
3. ขบถ ประหลาดล้ำ เสียดเย้ย
==================
นี่คือความมุ่งมั่นตั้งใจหนึ่ง ที่เรากล้ารับประกันถึงความคุ้มค่าทุกบาททุกสตางค์ของผู้อ่าน
หากหนังสือทุกเล่มที่ผ่านมาของเรา พอจะนำเสนอให้เห็นถึง ความเอาจริงเอาจังต่อวิชาชีพและมาตรฐานการทำหนังสือของสำนักพิมพ์ การสนับสนุนของผู้อ่าน จะทำให้ความตั้งใจของเราไม่สูญเปล่า
สั่งซื้อยกชุดในราคาพิเศษ คลิก https://bit.ly/3alEWMu
สนพ.สมมติขอขอบคุณทุกแรงสนับสนุน
17 มิ.ย. 2563
18 ม.ค. 2564
5 มิ.ย. 2565
22 ธ.ค. 2567