Last updated: 30 May 2020 | 10410 Views |
บริบทของอิสรภาพ บทที่ 1 : ศรีบูรพา
โดย นิธิ นิธิวีรกุล
.
แม้ไม่เคยมีตราไว้ประหนึ่งกฎบัตรอันเคร่งครัด แต่ก็มีนักเขียน/นักประพันธ์ไม่น้อยที่มองพื้นที่ว่างเปล่าบนหน้ากระดาษ คือ เวที ของการประกาศเจตจำนงในเสรีภาพทางความคิด ทั้งเพื่อปลดโซ่ตรวนที่ฉุดรั้ง ทั้งเพื่อปลดแอกทางชนชั้นที่กดทับ และทั้งเพื่อแบกรับน้ำหนักของอุดมการณ์เพื่อปลายทางของความเป็นมนุษย์ที่มีอิสรภาพ เสรีภาพ ภราดรภาพ (Liberté, Égalité, Fraternité) อย่างครบถ้วน แม้จะแตกต่างความเชื่อทางการเมือง
อิสรภาพของยุคสมัย จะพาไปรู้จักเงื่อนไขทางประวัติศาสตร์ของยุคสมัยนักเขียน/นักประพันธ์ไทย 5 คนที่ใช้น้ำหมึกป่าวร้องถึงเสียงทุกข์ยากของผู้คนเพื่อให้ผู้มีอำนาจได้ยินซึ่งเสียงของความเงียบที่กึกก้องผ่านตัวอักษร แม้นแลกด้วยอิสรภาพ กระทั่งชีวิต
2448
เด็กชายกุหลาบ
ย้อนกลับไปในห้วงทศวรรษ พ.ศ.2440 ก่อนวันที่ 31 มีนาคม พ.ศ.2448 บริบทของสังคมไทยในยุคที่ยังเรียกว่า ‘สยาม’ เกิดคณะนักเขียน ‘ลักวิทยา’ ขึ้นในปี พ.ศ.2443 ซึ่งคณะนักเขียนส่วนหนึ่งสืบสาแหรกมาจากคณะ ‘สยามหนุ่ม’ [1] อดีตกองบรรณาธิการหนังสือ ดรุโณวาท ที่ตีพิมพ์ในปี พ.ศ.2417 ได้เพียงปีเดียวก็ยุติไป
นายสุวรรณและนางสมบุญ ได้ร่วมกันให้กำเนิดบุตรคนเล็กออกมาให้ชื่อ กุหลาบ สายประดิษฐ์ โดยเติบโตขึ้นมาในห้องแถวของพระยาสิงหเสนีในละแวกหัวลำโพงได้เพียงหกปี พ่อผู้ให้กำเนิดก็มาเสียชีวิตจากไป ทิ้งแม่ให้ต้องนั่งตัดเย็บเสื้อผ้า โดยมีบุตรคนโต นางจำรัส นิมาภาส ที่แต่งงานกับนายกุหลาบ นิมาภาส เพื่อส่งเสียให้เด็กชายกุหลาบได้เล่าเรียน จนกระทั่งถึงชั้นประถม 4 จึงได้เข้าเรียนที่โรงเรียนทหารเด็กหลวง จังหวัดนครราชสีมา ซึ่งเป็นโรงเรียนประจำได้สองปี ผู้เป็นแม่ก็พาเด็กชายกุหลาบกลับมาเรียนต่อยังโรงเรียนเทพศิรินทร์ จนจบชั้นมัธยมปีที่ 8 ในปีพ.ศ.2468 หากแต่ก่อนหน้านั้นสามปี เด็กชายกุหลาบเริ่มหัดแต่งหนังสือ ทำหนังสือ และได้มีโอกาสบ่มเพาะวิชาการเขียน ร่วมกับ ชะเอม อันตรเสน และ สนิท เจริญรัฐ ภายใต้สำนักรวมการแปล ของนายแตงโม จันทวิมพ์ จนมามีงานตีพิมพ์ในหนังสือพิมพ์ของโรงเรียนในรูปแบบกลอนหก เรื่อง “ต้องแจวเรือจ้าง” มีหลวงสำเร็จวรรณกิจ (บุญ เสขะนันท์) ครูสอนภาษาไทยเป็นบรรณาธิการ
2468-2472
สาส์นหาย
ทศวรรษ 2460 เป็นช่วงเวลาที่ ‘ศรีบูรพา’ เริ่มทอแสงในโลกวรรณกรรม ทั้งจากการได้เป็นบรรณาธิการ รายทส(รายสิบวัน)ของนิตยสารชื่อ สาส์นสหาย แม้จะตีพิมพ์ออกมาได้เพียง 7 เล่ม แต่ก็เป็นหมุดหมายแรกของการวางรากฐานสู่การเป็นนักประพันธ์ ต่อมาในปี พ.ศ.2468 นายกุหลาบเข้าทำงานที่กรมยุทธศึกษาฯ ในตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ ในตำแหน่ง 'เจ้าพนักงานโรงวิทยาศาสตร์' อัตราเงินเดือน 30 บาท พร้อมๆ กับการทำงานในระบบระเบียบข้าราชการ นายกุหลาบก็เริ่มมีผลงานตีพิมพ์ในหลายนิตยสารด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น สมานมิตรบันเทิง (รายปักษ์) สวนอักษร (รายปักษ์) สาราเกษม (รายปักษ์) ปราโมทย์นคร (รายสัปดาห์) ดรุณเกษม (รายปักษ์) เฉลิมเชาว์ (รายเดือน) ฯลฯ [2] จวบจนในอีกสองปีต่อมา นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ จึงได้ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ ออกมาก่อตั้งกลุ่มคณะนักเขียนแบบเดียวกันกับกลุ่ม ‘สยามหนุ่ม’ และ ‘ลักวิทยา’ ในชื่อ ‘คณะสุภาพบุรุษ’ ออกจำหน่ายทุกวันที่ 1 และ 15 ของเดือน โดยฉบับปฐมฤกษ์วางแผงในวันที่ 1 มิถุนายน พ.ศ.2472
ในช่วงระยะเวลา 10 ปีระหว่าง พ.ศ.2460 ถึง พ.ศ.2470 กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้เปลี่ยนแปลงจากเด็กชายสู่นาย จากเด็กนักเรียนสู่ข้าราชการในร่างเงาของนักประพันธ์ ห้วงเวลานั้น ประวัติศาสตร์ทิ้งร่องรอยของชีวิตให้รับรู้เพียงว่ากุหลาบ สายประดิษฐ์ เรียน เข้าสู่วัยทำงาน หัดงานประพันธ์ มีงานประพันธ์ตีพิมพ์ประปราย นับตั้งแต่เรียนจบชั้นมัธยมปีที่ 8 จนถึงนิตยสารสุภาพบุรุษฉบับปฐมฤกษ์วางจำหน่าย กุหลาบใช้เวลาเพียง 4 ปีก้าวขึ้นมายืนในโลกวรรณกรรมสยามในฐานะบรรณาธิการและนักประพันธ์ภายใต้กลุ่มก้อนนาม ‘คณะสุภาพบุรุษ’
อะไรเป็นแรงผลักสำคัญ ความยากจนแต่เดิมของครอบครัวที่เติบโต การได้เห็นภาพแม่นั่งเย็บผ้า การได้รับรู้ว่าพี่สาวต้องไปเป็นนางรำเพื่อสมทบเงินร่วมกับแม่ส่งเสียตนเองให้เล่าเรียน หากเป็นแต่เพียงความยากจนแล้ว เหตุใดกุหลาบจึงไม่เลือกรับราชการต่อไป ซึ่งน่าจะสร้างรายได้และความมั่นคงให้กับตน และครอบครัวได้มากกว่า เหตุผลใดที่ทำให้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ลาออกจากข้าราชการมาก่อตั้งคณะสุภาพบุรุษ และกลายเป็นหนึ่งในนักประพันธ์ที่มีส่วนเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงการปกครอง รวมไปถึงความไม่เป็นธรรมต่างๆ ในสังคม จนที่สุดถูกจับกุม และถูกคุมขังในที่สุด
จากสายตาของปัจจุบันมองย้อนอดีตกลับไปในสายตาของ ‘ศรีบูรพา’ จะเห็นถึงสิ่งใดได้บ้าง?
2474/2435
สองช่วงเวลา
สุชาติ สวัสดิ์ศรี เขียนไว้ใน เพื่อนพ้องแห่งวันวาร ว่า […] กล่าวได้ว่าเรื่องสั้นในยุคบุกเบิกของสยามนั้น เป็นเหมือนตัวแบบของการทำหน้าที่ ‘ต่อสู้ทางความคิด’ มาตั้งแต่เมื่อ 135 ปีก่อนแล้ว ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องแปลกถ้าจะกล่าวว่าแวดวงนักคิด นักเขียน และนักหนังสือพิมพ์ของเราแต่เดิมนั้นอยู่ในขนบงานเขียน ‘เชิงสังคม’ มาตั้งแต่ปีเริ่มก่อเกิด […]
หากจะนับการวิเคราะห์ของอดีตบรรณาธิการเครางามผ่านบริบทของยุคสมัยก่อนเด็กชายกุหลาบจะถือกำเนิด สังคมสยามผ่านการเปลี่ยนแปลงขนานใหญ่มาตั้งแต่การปฏิรูประบบราชการในสมัยรัชกาลที่ 5 นำมาสู่การเกิดขึ้นของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ขึ้นครั้งแรก และก่อนจะเกิดการอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ.2475 ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า การนำเสนอความเห็นของ ‘เทียนวรรณ’ ต่อรัชกาลที่ 5 ในเรื่องการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็น ‘ปาเลียเม้นต์’ หรือระบบรัฐสภา ย่อมส่งผลไม่มากก็น้อยต่อสถานะของความมั่นคง ทว่าไม่ใช่ในฐานะกษัตริย์อันเป็นเจ้าชีวิต - ที่ยังคงเป็นอยู่ แม้เมื่อมีประกาศเลิกทาสแล้ว - แต่ในฐานะของการปรากฏตัวขึ้นครั้งแรกของราษฎรที่หาญกล้าขึ้นมาท้าทายผู้ที่ได้ชื่อว่าเป็นเจ้าเหนือหัวของราษฎรสยามทุกคนในห้วงเวลานั้น
แม้ไม่อาจรู้ กระทั่งประวัติศาสตร์ต่างชี้ว่าการปฏิรูประบบราชการรวมศูนย์อำนาจในปีพ.ศ.2435 เป็นผลมาจากความต้องการลดทอนอำนาจของขุนนางในสายตระกูลบุนนาคที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน นับตั้งแต่ก่อตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ.2325 แต่ประวัติศาสตร์เช่นกันที่ได้บอกเราให้รู้แน่ๆ หนึ่งข้อว่า จากผลของการเสนอความคิดในการเปลี่ยนแปลงการปกครองให้เป็น ‘ปาเลียเม้นต์’ นั้นส่งผลให้ ‘เทียนวรรณ’ ต้องโทษจำคุก 17 ปี ทั้งๆ ที่กลุ่มเจ้านายชั้นสูงและข้าราชการจำนวนหนึ่ง อย่างเช่น พระองค์เจ้าปฤษฎางค์ กรมพระนเรศวรฤทธิ์ฯ กรมพระสวัสดิ์วัฒนวิดิษฏ์ นายบุศย์ นายนกแก้ว หลวงเดชนายเวร [3] ต่างก็กราบทูลถวายบังคมทูลความเห็นให้มีการจัดการเปลี่ยนแปลงราชการแผ่นดินในทำนองเดียวกันกับ ‘เทียนวรรณ’ เช่นกัน แต่กลับมีเพียงราษฎรอย่าง ‘เทียนวรรณ’ เท่านั้นที่ต้องโทษจำคุก
‘ศรีบูรพา’ รู้จัก ‘เทียนวรรณ’ ไหม?
เป็นคำถามไม่อาจเลี่ยง หากจะมองว่าบริบทของสังคมสยามก่อนเด็กชายกุหลาบจะถือกำเนิดนั้นมีส่วนในการก่อร่างรูปเงาของนักประพันธ์ นักหนังสือพิมพ์ ที่ยืนอยู่ข้างประชาชน ยืนอยู่ข้างความถูกต้องชอบธรรมให้เป็นตัวตนอันสมบูรณ์ของความเป็น ‘ศรีบูรพา’ คำตอบอาจไม่สามารถระบุได้ชัดเจนว่า ‘ศรีบูรพา’ ได้อ่านงานของ ‘เทียนวรรณ’ ได้ศึกษาข้อเสนอคิดเห็นต่อรัชกาลที่ 5 หรือไม่ ?
และแม้ไม่อาจล่วงรู้ได้เลยอย่างชัดเจน แต่อนุมานได้ใช่ไหมว่า ความคิดของ 'เทียนวรรณ' มีผลต่อ 'ศรีบูรพา' เหมือนที่ความคิดของ 'จิตร ภูมิศักดิ์' มีผลต่อนักคิด นักเขียน รุ่นหลัง แล้วทั้ง 'ศรีบูรพา' 'เทียนวรรณ' 'จิตร ภูมิศักดิ์' ล้วนมีอิทธิพลต่อนักคิด นักเขียน ที่มีหัวจิตหัวใจศรัทธาในระบอบประชาธิปไตย ศรัทธาในความเท่าเทียมกันของมนุษย์ทุกชนชั้น
ความศรัทธาในความเท่าเทียมนี้เอง คือ คำตอบของเหตุผลที่ 'ศรีบูรพา' ลาออกจากตำแหน่งผู้ช่วยบรรณาธิการ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ เพราะ 'ศรีบูรพา' ได้พบเห็นความไม่เท่าเทียมในระบบข้าราชการที่ยังเต็มไปด้วยเจ้าขุนมูลนายภายในรั้วทหารกรมยุทธศึกษาทหารบก แล้วจึงตรงไปหา ครูอบ ไชยวสุ บอกเล่าถึงความตั้งใจที่จะออกหนังสือรายปักษ์ โดยรวบรวมนักเขียนฝีมือดีที่ได้รู้จักมาตั้งแต่สมัยทำ เสนาศึกษาและแผ่วิทยาศาสตร์ ร่วมกันมา ไม่ว่าจะเป็น 'พ.เนตรรังษี' 'พันเพ็ชร' 'พ.พรปรีชา' มาช่วยกันเขียน 'ครูอบ' หรือ 'ฮิวเมอริสต์' จึงได้ยก 'ห้องเกษมศรี' ที่ตั้งตามชื่อลูกสาวคนแรก อันเป็นบ้านไม้สองชั้นตรงข้ามวัดชนะสงคราม (ปัจจุบันเป็นที่ตั้งของสถานีตำรวจนครบาลชนะสงคราม) ให้เป็นสำนักงานโดยไม่คิดค่าเช่าแต่อย่างใด
เช่นนี้นั้น จึงกล่าวได้ว่า ทั้งโดยตัวแบบผ่านงานของ 'เทียนวรรณ' ทั้งโดยประสบการณ์จากชีวิตของเด็กหนุ่มยากจนที่ได้เข้าไปประสบพบเจอภายในรั้วกรมกองทหาร ได้หล่อหลอมให้ นายกุหลาบ สายประดิษฐ์ มองสังคมสยามในยุคก่อนอภิวัฒน์เปลี่ยนแปลงการปกครอง ยังเป็นสังคมในแบบที่ถ่ายทอดไว้ในเรื่องสั้น 'ลูกพี่ลูกน้อง' เรื่องสั้นชิ้นแรกที่ตีพิมพ์ใน สุภาพบุรุษ ฉบับแรก ผ่านการบรรยายในช่วงต้นของเรื่องที่เขียนไว้ว่า
ภาพของแผ่นดินฝั่งซ้าย หรือฝั่งพระนคร ช่างตัดกันกับภาพแผ่นดินฝั่งซ้าย หรือฝั่งธนบุรี ราวกับว่าลำน้ำเจ้าพระยาไม่เพียงกั้นกลางระหว่างสองฟากฝั่ง แต่ยังขีดเส้นให้เป็นถึงความแตกต่างในวิถีชีวิตของผู้คน อันไม่อาจปฏิเสธได้ว่าภาพเมื่อสมัยเกือบร้อยปีที่แล้วยังคงปรากฏอยู่ในปัจจุบันภายใต้ความเหลื่อมล้ำที่ไม่เพียงไม่มีลำน้ำมาขีดเส้นให้เห็นอย่างชัดเจนอีกแล้ว หากแต่ความแตกต่างในวิถีชีวิตของผู้คนได้แทรกชอนเข้าไปในทุกเหลือบเงาของมหานครที่ชื่อกรุงเทพมหานคร และความแตกต่างที่ว่านี้มีแต่จะยิ่งถ่างห่างออกไป-ออกไป แทบไม่เห็นหนทางที่ผู้คนในแต่ละชนชั้นจะสามารถขยับเข้ามาใกล้จนช่องว่างของความแตกต่างไม่มีอีกต่อไป หรือมีก็น้อยที่สุด
ความเหลื่อมล้ำในกาลเวลาเมื่อเกือบร้อยปีก่อนผ่านสายตาของ ‘ศรีบูรพา’ สะท้อนออกมาผ่านวรรณกรรมเรื่องแต่งหลายต่อหลายชิ้น แม้ว่าเรื่องราวโดยส่วนมากยังคงวนเวียนอยู่ในกรอบของเรื่องราวรักๆ ใคร่ๆ ที่เป็นค่านิยมในการเขียนของยุคนั้นมาตั้งแต่รัชกาลที่ 6 ถึงรัชกาลที่ 7 แต่เรื่องราวความรักของ ‘ศรีบูรพา’ มักสอดแทรกปัญหาทางชนชั้นเข้าไปให้คนอ่านได้ตระหนักถึงสภาพที่เป็นและดำรงอยู่ กระทั่งนำมาสู่การเขียนบทความ 'มนุษยภาพ' ซึ่งมีเนื้อหาส่วนหนึ่งกล่าวถึงแง่มุมที่ควรเป็นของผู้ปกครองบ้านเมือง ในปี พ.ศ.2474 ลงในหนังสือพิมพ์ศรีกรุง ส่งผลให้ถูกสั่งปิด และแท่นพิมพ์ถูกล่ามโซ่ โดยเนื้อหาส่วนนั้นมีใจความว่า
[…] ในสมัยก่อนเราถามไม่มีใครตอบ ในสมัยปัจจุบันเราถาม มีคำตอบบ้างแต่ไม่ทั้งหมด และมีความจริงบ้าง โกหกบ้างในคำตอบเหล่านั้น ในสมัยที่เราๆ อยู่ข้างหน้า เราจะได้คำตอบที่เต็มตามคำถาม และต้องจริงทั้งหมด ความต้องการของมนุษย์ในที่สุดจะไปยุติอยู่ที่ความจริง
ข้าพเจ้าได้กล่าวไว้ในวันก่อนว่า อำนาจบันดาลความนิยม นี่เป็นความจริงมาแต่บรรพกาล ยังเป็นอยู่ในปัจจุบันสมัย และยังจะเป็นต่อไปอีกจนกว่าโลกแตก แต่ท่านผู้อ่านพึงระลึกไว้ว่า สิ่งอันปรุงแต่งอำนาจขึ้นนั้นไม่คงที่ ย่อมหมุนเวียนเปลี่ยนแปลงไปตามกาลสมัย ในโบราณสมัยอำนาจจะอยู่กับกษัตริย์หรือนักรบ บางคราวอยู่กับนักพูด บางคราวอยู่กับบุคคลชั้นสูง เป็นต้นว่าพวกเจ้านายและอำมาตย์ อำนาจย่อมอยู่กับเงิน ในประเทศรัสเซีย ณ สมัยปัจจุบัน อำนาจตกอยู่กับคนจน และในอารยประเทศต่างๆ ในทวีปยุโรปและอเมริกา อำนาจเฉลี่ยตัวของมันอยู่กับบุคคลทั่วไป อำนาจบันดาลความนิยม มันเป็นความจริงทุกกาลทุกสมัย แต่สิ่งที่ปรุงแต่งอำนาจย่อมแปรผันไปได้ตามโอกาส ในเมืองใดถ้าอำนาจอยู่ที่เงินกับชนชั้นสูง และผู้ที่กำอำนาจจะไม่ละเสียซึ่งการสู้หน้ากับความจริง แล้วหันเข้าความโกหกตอแหลตะพึดตะพือไป อำนาจจะคงที่ไม่แปรรูปไปเป็นอื่นได้
สมมติว่าตัวเราเองเป็นหัวหน้าบ้านอยู่ในบ้านบ้านหนึ่ง ถ้าเราเกิดขาดแคลนจนถึงไม่มีสตางค์ซื้อข้าวให้คนในบ้านของเรากิน ความจริงจะบอกกับเราและกล้าสู้หน้ากับความเป็นจริงดั่งนี้ เราย่อมจะเห็นแก่ท้องของเราจนเกินไปไม่ได้ เราคงจะยอมสละอาหารอย่างดีของเราชั้นหนึ่ง เพื่อแลกกับอาหารเลวๆ หลายชั้น แล้วเอามาแบ่งให้คนของเราได้กินโดยทั่วถึงกัน บ้านเราก็จะมีความสงบสุข ปราศจากความเดือดร้อนใดๆ โดยตัวเราเองจะขาดไปเพียงนิดหนึ่ง ก็ที่ตรงโอชารสอันเคยมีแก่ลิ้นของเราเท่านั้น […] (ศรีกรุง ฉบับวันพฤหัสบดีที่ 21 มกราคม พุทธศักราช 2474)
2472-2497
จากกบฏสู่สุภาพบุรุษ
ภายหลังนิตยสาร สุภาพบุรุษ ยุติการตีพิมพ์ ในวันที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ.2473 'ศรีบูรพา' ได้เปลี่ยนบทบาทของตัวเองจากนักประพันธ์ไปสู่นักหนังสือพิมพ์ตามคำเชิญชวนของกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ บางกอกการเมือง ให้มาเป็นบรรณาธิการหลังจากหนังสือพิมพ์ บางกอกการเมือง ประสบภาวะขาดทุน ยอดขายซบเซาต่อเนื่อง แต่ด้วยความที่เป็นผู้มีใจรักในความเป็นธรรมบวกรวมเข้ากับความสามารถในการพาดหัวข่าว แม้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ จะทำให้ยอดขายของ บางกอกการเมือง เพิ่มขึ้นจากการลงข่าวเกี่ยวกับการทุจริตของข้าราชการกระตุ้นความสนใจของประชาชนให้กระหายใคร่อ่าน แต่ก็ทำให้ผู้มีอำนาจไม่พอใจ ใช้อิทธิพลบีบผู้บริหารของ บางกอกการเมือง กดดันกุหลาบและคณะจนต้องลาออกหลังจากเข้ามาทำงานได้เพียงสามเดือน
เมื่อพ้นจากชายคา บางกอกการเมือง กุหลาบ สายประดิษฐ์ ก็ได้รับการชักชวนให้ไปทำงานในตำแหน่งบรรณาธิการพร้อมคณะนักเขียนสุภาพบุรุษอีกครั้งให้กับหนังสือพิมพ์ ไทยใหม่ ด้วยคำขวัญ "ตั้งต้นชีวิตใหม่ โดยอ่านไทยใหม่" หลังจากหนึ่งปีผ่านไป กุหลาย สายประดิษฐ์ ผลัดเปลี่ยนให้ สนิท เจริญรัฐ ขึ้นเป็นบรรณาธิการ โดยนำเสนอบทความทางการเมืองที่ชื่อ 'ชีวิตของประเทศ' โดย 'ศรทอง' นามปากกาของพระยาศราภัยพิพัฒ เนื้อหาเรียกร้องให้ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นระบบรัฐสภาแบบเดียวกับที่ ‘เทียนวรรณ’ เคยนำเสนอไว้ต่อรัชกาลที่ 5 ทำให้ ไทยใหม่ ถูกเพ่งเล็งจากรัฐบาลรัชกาลที่ 7 จนกระทั่งตีพิมพ์บทความ 'มนุษยภาพ' หลวงวิจิตรวาทการก็ได้เข้ามาถือหุ้น แล้วเปลี่ยนแปลงนโยบายของหนังสือพิมพ์ด้วยการลดการวิพากษ์วิจารณ์รัฐบาลลง ส่งผลให้ กุหลาบ สายประดิษฐ์ และคณะสุภาพบุรุษลาออกทั้งคณะอีกครั้ง ก่อนตัวกุหลาบจะไปเข้าร่วมกับกองบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ ศรีกรุง และ สยามราษฎร์ เขียนบทความทางการเมืองหลายต่อหลายชิ้น หนึ่งในบทความที่สั่นสะเทือนรัฐบาลที่สุด คือ ‘มนุษยภาพ’ ที่กุหลาบได้นำมาเขียนต่อจากที่ลงค้างไว้ใน ไทยใหม่ ส่งผลให้หนังสือพิมพ์ ศรีกรุง ถูกปิดไป 9 วัน
กล่าวได้ว่า แม้นิตยสาร สุภาพบุรุษ จะปิดตัวลงไป แต่คณะสุภาพบุรุษ ยังคงเติบโต และยึดมั่นในงานเขียนอยู่อย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกับตัว กุหลาบ สายประดิษฐ์ เอง การได้เปลี่ยนมาเป็นนักหนังสือพิมพ์ในห้วงปี พ.ศ.2473 ถึง 2474 ก่อนจะเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ส่งผลต่อทั้งความคิด และงานเขียนในเชิงวรรณกรรมเรื่องแต่งต่อมาในยุคหลัง จนมาถึงสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 ในห้วงปี พ.ศ.2482-2488 จนกระทั่งถูกจับขังคุกในปี พ.ศ.2497 ในเหตุการณ์ ‘กบฏสันติภาพ’
ด้วยความที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นผู้ยึดมั่นในหลักการของมนุษย์ธรรม ซึ่งวางอยู่บนรากฐานของระบอบประชาธิปไตยที่ไม่ใช่เพียงแต่สักใส่คำว่า 'ประชาธิปไตย' ลงไป แม้เมื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว ในฐานะบทบาทของบรรณาธิการหนังสือพิมพ์ประชาชาติ กุหลาบยังคงเขียนบทความคัดค้านการปฏิปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย ส่งผลให้หนังสือพิมพ์ถูกสั่งปิดในปี พ.ศ.2476 ต่อเนื่องมาถึงการเขียนบทความคัดค้านรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ที่เข้าร่วมกับกองทัพญี่ปุ่นในปี พ.ศ.2485 ส่งผลต่อเนื่องมาสู่การเข้าร่วมกับกองกำลังเสรีไทยภายใต้การนำของนายปรีดี พนมยงค์ กระทั่งถึงปี พ.ศ.2495 เกิดการจับกุมประชาชน นักหนังสือพิมพ์หลายต่อหลายคนโดยอาศัยอำนาจตามกฎหมายลักษณะอาญา ร.ศ.127 มาตรา 102, 104, 177,181 และ พ.ร.บ.แก้ไขเพิ่มเติมกฎหมายลักษณะอาญา (ฉบับที่ 7) พ.ศ.2478 มาตรา 4 ซึ่งมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นหนึ่งในผู้ถูกจับกุมในฐานที่ออกมาคัดค้านการเข้าร่วมกับสหรัฐอเมริกาในการทำสงครามเกาหลี โดยหนึ่งในฉากและเหตุการณ์ก่อนถูกจับกุม กุหลาบ สายประดิษฐ์ ได้บริจาคเงินจำนวน 6 หมื่นบาท เสื้อผ้า 21 กระสอบ ไปช่วยบรรเทาทุกข์ภัยแล้งในภาคอีสาน ซึ่งเกิดขึ้นในเดือนกรกฎาคม พ.ศ.2495 ก่อนในวันที่ 10 พฤศจิกายน ปีเดียวกัน รัฐบาลจะออกมาโจมตีการเคลื่อนไหวของคณะกรรมการสันติภาพสากลแห่งประเทศไทย ซึ่งมี กุหลาบ สายประดิษฐ์ เป็นรองประธาน นำไปสู่การกวาดล้าง และจับกุม จนกลายเป็นที่มาของชื่อ 'กบฏสันติภาพ' ซึ่งในจำนวน 54 รายที่อัยการส่งฟ้อง มีตั้งแต่กลุ่มชาวบ้านที่คูซอด จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเป็นกลุ่มชาวบ้านที่ได้รับเงินและเสื้อผ้าบริจาคจากกุหลาบ กลุ่มขบวนการกู้ชาติ และกลุ่มพรรคคอมมิวนิสต์ [4] ส่วนตัวกุหลาบเองถูกจับกุมในปี พ.ศ.2497 แล้วถูกคุมขังอยู่ 3 ปี จึงได้รับอภัยโทษในปี พ.ศ.2500 ในวาระฉลองพุทธศตวรรษที่ 25 จากนั้น กุหลาบจึงลี้ภัยการเมืองไปอยู่สาธารณรัฐประชาชนจีน และสิ้นชีวิตที่นั่นในปี พ.ศ.2517
หากนับเอาเหตุการณ์สำคัญของสังคมสยามก่อนการอภิวัฒน์มาสู่สังคมไทย นับตั้งแต่ 'เทียนวรรณ' นำเสนอความคิดในเรื่อง 'ปาเลียเม้นต์' ในห้วงปี พ.ศ.2435 ต่อรัชกาลที่ 5 จนมาถึงช่วงปลายรัชสมัยเมื่อเด็กชาย 'กุหลาบ สายประดิษฐ์' ถือกำเนิดในปี พ.ศ.2448 หกปีต่อมาเกิดกบฏนายสิบในปี พ.ศ.2454 อายุครบ 20 ในปี พ.ศ.2468 ได้เห็นข่าวการเข้าร่วมสงครามโลกครั้งที่ 1 ได้เข้ารับราชการในกรมยุทธศึกษาทหารบก ได้เห็นความไม่ชอบธรรมภายใต้สังคมทหาร ซึ่งเต็มไปด้วยช่วงชั้นของอำนาจ ยศถาบรรดาศักดิ์ เป็นหนึ่งในประจักษ์พยานร่วมกับราษฎรอีกนับล้านในคราวเศรษฐกิจตกต่ำ นำไปสู่การเขียนบทความ 'มนุษยภาพ' เพื่อชี้ให้เห็นถึงสังคมภายใต้การปกครองของอำนาจที่ควรมีและควรเป็นบนหลักธรรมของความเท่าเทียม และยึดมั่นในอุดมการณ์ประชาธิปไตย แม้เมื่อรัฐบาลภายใต้ระบอบปกครองใหม่ปรากฏความไม่ชอบธรรมก็กล้าวิพากษ์วิจารณ์ผ่านจุดยืนของความเป็นนักหนังสือพิมพ์ที่ไม่หลงลืมความหมายแท้จริงของคำว่า ‘สุภาพบุรุษ’ กระทั่งเรียกร้องหาสันติภาพให้กับชีวิตของทหารที่ไปเข้าร่วมในสงครามที่ไม่ใช่ของตน สงครามบนความแตกต่างทางอุดมการณ์การเมืองที่ไม่ควรมี จนถูกจับกุมในข้อหาเป็นกบฏด้วยการกระทำอันเป็นคอมมิวนิสต์ และลี้ภัยการเมืองไปจากประเทศที่ไม่ต้องการในที่สุด
ชีวิตของ กุหลาบ สายประดิษฐ์ นั้นวางลงบนเส้นสายของประวัติศาสตร์ตั้งแต่เกิดจนเสียชีวิต จนอาจกล่าวได้ว่า เขาได้ใช้ชีวิตคุ้มกับที่ได้เกิดมา หรืออาจจะไม่ในทางกลับกัน หากเขายังคงทำงานในกรมยุทธศึกษาทหารบกอยู่ต่อไป โลกวรรณกรรมก็จะไม่รู้จัก ‘ศรีบูรพา’ โลกหนังสือพิมพ์ก็จะไม่มี ‘กุหลาบ สายประดิษฐ์’ ที่ยืนหยัดบนหลักการอันถูกต้อง ไม่หวั่นเกรงต่ออำนาจรัฐ
2563
ความหมายของนักเขียน
กล่าวอย่างสัตย์ซื่อ ความพยายามในการปะต่อเรื่องราวของนักคิด นักเขียน นักประพันธ์ที่ชื่อ 'ศรีบูรพา' อาจเป็นความพยายามที่ไม่สมเกียรติ เมื่อวัดจากความเป็นนักเขียนของตัวผู้เขียนเองในวันเวลาปัจจุบัน ซึ่งหากว่าให้ถึงที่สุดแล้ว ไม่เคยหรือแม้แต่พฤติตนให้ได้สักครึ่งหนึ่งที่ กุหลาบ สายประดิษฐ์ ทำ ทว่านั่นไม่ใช่จุดมุ่งหมายอันเป็นแกนหลักของการนำเสนอ แก่นแกนหลักของการนำเสนอภาพชีวิตพอสังเขปของ 'ศรีบูรพา' ก็เพื่อจะชี้ให้เห็นว่าภายใต้บริบทของสังคมสังคมหนึ่ง ภายใต้ชีวิตของคนคนหนึ่ง ซึ่งมีทั้งทางเลือกที่ไม่อาจเลือก และทางเลือกที่เลือกได้ เขาได้พาชีวิตตัวเขาไปสู่อะไร คำถามถึงทางที่เขาเลือก ล้วนแล้วแต่เป็นคำถามที่ไปไกลกว่าความเป็นนักคิด นักเขียน นักประพันธ์
โดยมิพักต้องกล่าวถึงนักเขียน นักประพันธ์ กวี หลายต่อหลายคนในสังคมไทยปัจจุบันที่ปวารณาตัวเองเข้าร่วมกับรัฐบาลเผด็จการทหาร ยอมเปลี่ยนกลายตัวเองจากบทบาทที่ควรเป็นในฐานะนักประพันธ์ผู้ควรยึดมั่นในหลักการเหมือนเช่น 'ศรีบูรพา' ไปสู่การรับใช้รัฐบาลที่แปรร่างจากเผด็จการทหารมาสู่รัฐบาลที่ขาดจากทุกความชอบธรรมใดๆ ในฐานะที่ผู้มีอำนาจปกครองพึงมี
จนผู้เขียนอดที่จะรำพึงเบาๆ กับตัวเองไม่ได้ว่า พวกเขาเหล่านั้นได้หลงลืม 'ศรีบูรพา' ไปหมดแล้วหรืออย่างไร?
พวกเขาเหล่านั้นเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ - ได้ยังไง?
และทั้งหมดนี้ คือ สุภาพบุรุษที่ชื่อ ‘ศรีบูรพา’ ผู้ที่ดำรงชีวิตในฐานะสุภาพบุรุษตั้งแต่วัยเยาว์จวบจนวันสุดท้ายของชีวิตสมดั่งที่ได้เคยให้นิยามของคำว่าสุภาพบุรุษไว้ว่า
ข้อมูลอ้างอิง
[1] สุชาติ สวัสดิ์ศรี เขียนไว้ใน ‘เพื่อนพ้องวันวาร’ ว่า […] ลักวิทยา เป็นสนามก่อเกิดนักเขียนเรื่องสั้นสยามในยุครอยต่อแห่งทศวรรษ 2440 และ 2450 และเป็นความนำสมัยของการนำเข้านวนิยายแปลเรื่องแรก คือ ความพยาม ที่ ‘แม่วัน’ (นามปากกาของพระยาสุรินทรราชา) แปลมาจากเรื่อง Vandetta นวนิยายสมัยปลายยุควิคตอเรีย ของนักเขียนสตรีชาวอังกฤษที่ชื่อ มารี คอเรลลี (Marie Correli : ค.ศ.1855-1924) ...ลักวิทยา หมายความว่า ‘ลักเอาความรู้ของคนอื่นมาทั้งนั้น...’ นักเขียนในคณะ ลักวิทยา ส่วนหนึ่งสืบมาแต่นักเขียนในคณะ ‘สยามหนุ่ม’ และอีกส่วนเป็นบรรดานักเรียนนอกทุนหลวงรุ่นแรก[…]
[2] อ้างอิงจาก วิกิพีเดีย
[3] เพื่อนพ้องแห่งวันวาร สุชาติ สวัสดิ์ศรี
[4] อ้างอิงข้อมูลจาก บทความ กบฏสันติภาพ กิเลน ประลองเชิง ไทยรัฐ ออนไลน์


สนใจหนังสือเป็น SET ครบชุด ไม่ต้องการเลือกให้วุ่นวาย เราจัดมาให้แล้ว คลิก SPECIAL SET



● เสื้อยืดสีดำแสดงความเงียบ สงบ ทว่ามีนัยถึงความแข็งแกร่ง ไม่โอนอ่อน และไม่สยบยอม
● ข้อความบนเสื้อยืดสีดำ ทำหน้าที่ส่งเสียงกู่ตะโกนถึงความต้องการและการต่อต้านอย่างเงียบสงบที่สุด!!!
=============================
2. เสื้อยืดคำประกาศคณะราษฎร
ร่วมระลึกถึงหลักการตั้งต้นของ 'คณะราษฎร' กลุ่มคณะผู้นำประชาธิปไตยมาสู่สังคมไทย ในวาระครบรอบ 88 ปี อภิวัฒน์ 2475
คลิกสั่งซื้อ เสื้อยืดคำประกาศคณะราษฎร
ราคา 380 บาท
กล่าวสำหรับข้อความ 'พึงรู้เถิดว่าประเทศเรานี้เป็นของราษฎร' คือวรรคทองวรรคหนึ่งที่ปรากฏอยู่ใน 'คำประกาศคณะราษฎร' ที่ถูกนำมาขณะย่ำรุ่งของวันที่ 24 มิ.ย. 2475
และหากใครก็ตามที่ได้อ่าน 'คำประกาศฯ' จะเห็นว่า ข้อความ 'พึงรู้เถิดว่าประเทศเรานี้เป็นของราษฎร' นำหน้าประโยคที่ต่อท้ายมาอย่างมีนัยสำคัญ!!!
ถึงเวลายืนยันตัวตน และชัดเจนในสิ่ง 'จุดยืน' และ 'อุดมคติตั้งต้น'
ร่วมเป็นหนึ่งในผู้ครอบครองเสื้อ 'พึงรู้เถิดว่าประเทศเรานี้เป็นของราษฎร'